จำนวนการดูหน้าเว็บรวม
วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554
รองนายกฯหนุนผบช.ก.ตามทวงโครงการบ้านพักตร.
รองนายกฯหนุนผบช.ก.ตามทวงโครงการบ้านพักตร.
รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงหนุน ผบช.ก. ตามทวงโครงการบ้านพัก ตร. จี้ ผบ.ตร.เร่งจัดการ อ้างเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล จัดงบให้แล้ว...
เมื่อเวลา 08.40น. วันที่ 29 เม.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ในฐานะกำกับดูแล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กล่าวถึงกรณี พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบช.ก. ออกมาเรียกร้องให้ ผบ.ตร.เร่งพิจารณากรณีความล่าช้าการสร้างที่พักอาศัยให้ตำรวจในสังกัด บช.ก. ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่ต้องเห็นใจ ผบช.ก. และตำรวจชั้นผู้น้อยที่ไม่มีบ้านอยู่ ตอนที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เข้ามารับตำแหน่ง ดูแลเรื่องนี้เป็นพิเศษจัดงบประมาณไปให้ 2,500 ล้านบาท เพื่อสร้างที่ทำการแห่งใหม่ สร้างที่พักให้ใหม่ แต่ยังไม่พอ เพราะยังมีตำรวจอีกกว่าครึ่งยังมีปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย ซึ่ง พยายามให้ สตช. รีบดำเนินการ และหน่วยไหนเสร็จก่อนดำเนินการก่อน
“ที่ผ่านมาได้สั่งให้ดูแลในเรื่องเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรในพื้นที่ กทม.และโดยเฉพาะฝั่งธนบุรี ได้มีการของบประมาณส่วนหนึ่งจาก ครม. ต่อมาของตำรวจสอบสวนกลาง ส่วนที่เหลือขอให้เร่งพิจารณาว่าทั้งหมด สมควรที่จะสร้างที่ไหนอย่างไรมีที่ดินที่ไหนอย่างไร จะใช้งบประมาณเท่าไร เป้าหมาย คือ ต้องการให้ตำรวจมีที่อยู่อาศัยใกล้กับที่ทำงาน และมีขวัญกำลังใจดีไม่ต้องห่วงครอบครัว ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างแข็งแรง” รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง กล่าว
นายสุเทพ กล่าวถึงคำถามปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดจาก ผบ.ตร.หรือ เกิดจากงบประมาณของรัฐบาล ว่า ไม่ใช่เรื่องงบประมาณของรัฐบาล แต่เป็นเรื่องการดำเนินการของ สตช. ที่มีการระบบอยู่ อาจทำให้ชักช้าไปและทำให้ ผบช.ก. กังวลใจ เพราะที่ดินที่จะใช้แปลงดังกล่าว จะต้องซื้อจาก บสท. ซึ่งจะเลิกกิจการในเดือน มิ.ย.นี้ แต่เมื่อวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้มีบันทึกไปถึงผบ.ตร.อีกครั้งว่า เรื่องนี้เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่ต้องรีบดำเนินการ
โดย
29 เม.ย. 2554, 11:09 น.
วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554
ผบช.ก.ลงทุน นั่งหน้าลิฟต์ ร้องสร้างแฟลต ตร.
พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สุดทนลงทุน นั่งประท้วงอยู่หน้าลิฟต์ ภายใน สตช. ขอเงิน 700 ล้าน สร้างแฟลตที่อยู่อาศัยให้ตำรวจชั้นผู้น้อย สับผู้ใหญ่ใน สตช.ทำงานล่าช้า ทั้งที่ ครม.อนุมัติหลักการแล้ว แต่เรื่องยังวนไปวนมาไม่ถึงไหน...
เมื่อ เวลา 10.30น. วันที่ 27 เม.ย. พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กล่าวกับทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ กรณีที่ต้องตัดสินใจนั่งประท้วงอยู่บริเวณหน้าลิฟต์ ภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ว่า ต้องการเรียกร้องแฟลตที่อยู่อาศัยให้ข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อย จำนวน 5,000 ครอบครัว ที่ต้องการและขาดแคลนที่อยู่อาศัยมานาน ขณะที่เงินเดือน สวัสดิการก็น้อย ไม่เหมาะสมกับค่าครองชีพปัจจุบัน
พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ กล่าวว่า ได้ติดตามเรื่องนี้มาตั้งแต่ขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง มากว่า 5 เดือน ซึ่งความจริง เรื่องดังกล่าว ครม. ได้อนุมัติรับหลักการแล้ว แต่เรื่องถูกดึงไว้อยู่ภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ก้าวหน้าไปไหน ดังนั้นจึงขอวิงวอนตำรวจขึ้นผู้ใหญ่ให้เห็นใจตำรวจชั้นผู้น้อย ที่ไม่มีที่พัก แต่ต้องปฏิบัติงานตลอด24 ชั่วโมงด้วย
"ครม. ได้อนุมัติรับหลักการ โครงการจัดซื้อที่ดินจำนวน 160 ไร่ ราคาประมาณ 700ล้านบาท ภายในเมืองทองธานี เพื่อเตรียมจัดสร้างแฟลตและที่อยู่อาศัยของข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อยให้มี ที่พัก แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใด การจัดซื้อยังล่าช้าอยู่ เรื่องยังวนอยู่ใน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่มีตำรวจระดับชั้นผู้ใหญ่เหลียวแล แต่ทุกอย่างจะต้องทำให้ทันก่อนวันที่ 1 มิ.ย.นี้ ไม่เช่นนั้นโครงการดังกล่าวก็จะล่าช้าไปอีก ทำให้ต้องตัดสินใจมานั่งประท้วงในวันนี้" พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ กล่าว
พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ กล่าวยืนยันอีกว่า การออกมาประท้วงในครั้งนี้ ตนไม่มีส่วนได้เสีย หรือผลประโยชน์อะไรแอบแฝง แต่ที่ตัดสินใจออกมา เพราะยอมรับมีแรงกดดัน จากข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อยที่บางนาย ถึงกับต้องไปอาศัยอยู่ในห้องน้ำ หรือบริเวณใต้บันไดสถานที่ที่ทำงาน เพราะไม่มีที่พัก หรือบ้านอาจอยู่ไกล ไม่สามารถเดินทางกลับได้ทุกวัน เงินเดือนค่าตอบแทนก็น้อยจะไปเช่าที่พักก็ไม่ได้
http://m.posttoday.com/articlestory.php?id=86967&attr_id=0005
ครม.มื้อสุดท้ายทิ้งทวนมโหฬาร
03 พ.ค. 2554, 23:06 น.
เปิดผลการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดสุดท้ายของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่นับว่าเป็นนัดประวัติศาสตร์เพราะมีวาระเสนอเข้ามากว่า 300 วาระ กับวงเงินที่ได้มีการอนุมัติตามกรอบเบื้องต้นกว่า6แสนล้าน
การประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)เมื่อวันที่ 3 พ.ค. มีวาระเสนอ เข้ามาทั้งสิ้น ประมาณ กว่า 300 วาระ ซึ่งถือเป็นครั้งประวัติศาสตร์ ที่มีวาระการประชุมมากที่สุดและใช้เวลายาวนานที่สุดตั้งแต่เวลา 08.00 น.ถึง 23.00น.
ทั้งนี้ เนื่องมาจาก การที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศยุบสภา จึงทำให้หลายกระทรวง ต้องแห่กันขออนุมัติงบประมาณและโครงการไว้ก่อน เพราะหลังจากยุบสภาจะทำไม่ได้
สำหรับโครงการที่มีการอนุมัติรวมวงเงินตามกรอบเบื้องต้น กว่า 6 แสนล้านบาทโดยมีรายละเอียดในส่วนของสำนักงานตำรจแห่งชาติ ดังนี้
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)
-โครงการกรุงเทพเมืองปลอดภัยห่างไหลอาชญากรม งบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2554 (งบกลาง) 123 ล้านบาท เพื่อดำเนินการใน
-ซื้อที่ดิน บสท. ให้ข้าราชการตำรวจสอบสวนกลาง ทำสำนักงานรวมถึงที่พักอาศัยของตำรวจ 40 ล้านบาทในการซื้อที่ดินและอนุมัติงบผูกพันปี 2555 อีก 700 ล้านบาท
http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=508215
breakingnews
4 พค. 2554 12:49 น.
พล.ต.อ. พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ( ผบช.ก.) กล่าวภายหลังเดินทางเข้าขอบคุณนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ที่ช่วยเร่งรัดโครงการจัดสร้างที่พักอาศัยของข้าราชการตำรวจกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง นอกนายสุเทพ ได้กล่าวฝาก ให้ช่วยดูแลในเรื่องงานที่ทางตนรับผิดชอบทั่วๆไป อาทิในเรื่องการดูแลนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้าท่องเที่ยวในประเทศไทย ทาง บช.ก.จะดูว่าหน่วยของเราหน่วยใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวก็จะกำชับให้ทำงานให้มากขึ้น
วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554
ข่าวไทยรัฐ วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ.2554 ส่ง 'ผู้กองเต็มใจ' บริการประชาชน ปรับภาพลักษณ์ตร.
http://www.thairath.co.th/column/region/policeshine/168926
http://www.talkystory.com/?p=10410
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=419&contentId=134886
http://www.oknation.net/blog/LittleLee/2011/04/26/entry-2%22%3Ehttp://www.oknation.net/blog/LittleLee/2011/04/26/entry-2
เปิดตัว " ผู้กองเต็มใจให้บริการประชาชน "
บชก.จับมือ ม.ราม จัดนิทรรศการ“นักศึกษา-ประชาชน-ตำรวจ” หวังลดช่องว่างตร.กับปชช.เปิดตัวผู้กองเต็มใจให้บริการ
วันนี้ 25 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบช.ก.มอบหมายให้ พล.ต.ต.เชิด ชูเวช รอง ผบช.ก. เป็นประธานเปิดนิทรรศการ “นักศึกษา-ประชาชน และตำรวจ” ที่ตึกนิติศาสตร์อาคารใหม่ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งเป็นนิทรรศการการที่จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่าง บช.ก. และมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยมี รศ.ทองสุก กรัณยพัฒนพงศ์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ และนักศึกษา เข้าร่วมกิจกรรม พร้อมเปิดตัวผู้กองเต็มใจ เป็น IDOL ของตำรวจยุคใหม่ของ บช.ก. ที่จะเน้นการทำงานด้วยการให้บริการประชาชน ไม่ได้มุ่งเน้นการจับผิดเพื่อผลการจับกุมในเร็วๆนี้ จะมีตำรวจกองปราบปราม ที่ได้รับการคัดเลือกว่าเป็นตำรวจที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดี มีจิตใจในการทำงานด้านบริการ แต่งชุดนอกเครื่องแบบติดเครื่องหมายผู้กองเต็มใจ ออกพบปะให้บริการประชาชน
ในนิทรรศการมีการนำเสนอเรื่องราวตามหลักวิชาการของตำรวจ ได้แก่ การจัดสภาพแวดล้อมในสถานศึกษาเพื่อป้องกันอาชญากรรม, กลยุทธการส่งเสริมความสงบเรียบร้อยในสังคม, การทำงานของตำรวจยุคใหม่ ปกป้อง คุ้มครองและให้บริการ, 8 เหลี่ยม “ทฤษฎีมหัศจรรย์” นำเสนอทฤษฎี “ตำรวจผู้รับใช้ชุมชน” ซึ่งเป็นแนวคิดที่นำไปใช้จนประสบผลสำเร็จมาแล้วในต่างประเทศ
นิทรรศการนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นการเผยแพร่วิชาการของตำรวจ(Police Science) ซึ่งที่ผ่านมา ไม่เคยมีการศึกษามาก่อนในประเทศไทย รวมทั้งนำเสนอเทคนิควิธีการการรักษาความสงบสุขของสังคม ในการป้องกันอาชญากรรมของผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ให้แก่นักศึกษา เพื่อที่นักศึกษาจะได้นำไปเผยแพร่ให้แก่ประชาชนในการรักษาความสงบสุขของ สังคมและการป้องกันอาชญากรรมต่อไป อีกทั้งเป็นการลดช่องว่างระหว่างตำรวจกับประชาชน โดยผ่านนักศึกษา เพื่อเป็นการแสวงหาความร่วมมือจากประชาชน ในการให้ข้อมูลข่าวสาร ที่ตำรวจจะนำมาใช้ในการป้องกันอาชญากรรมและเสริมสร้างความสงบสุขของสังคม นอกจากนี้ยังทำให้นักศึกษาได้รู้จักตำรวจมากขึ้น และมีการให้คำแนะนำการสอบเข้าเป็นตำรวจแก่นักศึกษาที่เข้าร่วมพิธีเปิด นิทรรศการด้วย.
สหบาท " ผู้กองเต็มใจ "
พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบช.ก.เมื่อก้าวขึ้นมารับตำแหน่งสำคัญ เรียกว่าระดับ ผู้บริหาร รับผิดชอบเต็มตัวต่อหน่วยงาน ได้นำนโยบายและแนวบริหารงานสมัยใหม่มาใช้
นั่นคือ ทฤษฎีตำรวจยุคใหม่ ซึ่งมาจากประสบการณ์ในการทำงานร่วมกับหน่วยงานตำรวจสำคัญหลายๆ ประเทศ ได้เห็นวิวัฒนาการของตำรวจยุคใหม่มากมายหลายรูปแบบ
สิ่งหนึ่งคือ การได้รับความร่วมมือ และไว้วางใจจากพี่น้องประชาชน
จึงถือเป็นนโยบายสำคัญนำมาใช้ จะต้องหาความร่วมมือจากตำรวจ หาความร่วมมือจากพี่น้องประชาชน หาแนวร่วมทางความคิด จึงได้จัดนิทรรศการ มาใช้เป็นสื่อกลางทำความเข้าใจ ชักชวนตำรวจให้คิดเหมือนกัน
ในช่วงแรกที่ปรากฏออกมา นิทรรศการ “ตำรวจไม่ทำผิด” ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. ให้เป็น “โครงการนำร่อง” ของทุกหน่วยเพื่อใช้เป็นช่องทางให้ความรู้แก่ตำรวจ ประชาชน นักเรียน นักศึกษา มองเห็นภาพความเปลี่ยนแปลงตำรวจไปในทางที่ดีขึ้น
ล่าสุด โดยความร่วมมือของ บช.ก.และ ม.รามคำแหง ได้มีการจัดนิทรรศการ เพื่อให้นักศึกษา ประชาชน และตำรวจ ได้ซึมซับรับรู้ ที่ตึกนิติศาสตร์อาคารใหม่ ม.รามคำแหง อาทิตย์ก่อน
มีการเปิดตัว ผู้กองเต็มใจ จากการจำลองเหตุการณ์มีคนร้ายวิ่งราวกระเป๋านักศึกษาหญิง ปรากฏมี ผู้กองเต็มใจ ผ่านมาประสบเหตุ ได้เข้าช่วยเหลือนักศึกษาหญิง สกัดจับคนร้ายไว้ได้ สร้างความประทับใจให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก
โดยก่อนหน้านี้ก็มีการจำลองเหตุการณ์ เหยื่อหรือผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความตำรวจ แต่ไม่ได้รับการบริการที่ดี ทำให้ประชาชนมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อตำรวจ
ผู้กองเต็มใจ จึงเป็นไอดอลของตำรวจ บช.ก.ยุคใหม่ เพื่อให้เข้ามาทำงานรับใช้ประชาชน ตามนโยบาย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ เน้นการทำงานด้วยการให้บริการประชาชน ไม่ได้มุ่งเน้นการจับผิดเพื่อผลการจับกุม
ดังนั้น ในอนาคตเร็วๆนี้ จะมีการคัดเลือก ตำรวจกองปราบปราม ที่มีผู้กล่าวกันว่า เป็นตำรวจที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี มีจิตใจในการทำงานด้านบริการประชาชน แต่งชุดนอกเครื่องแบบติดเครื่องหมาย ผู้กองเต็มใจ เป็นสัญลักษณ์ ออกพบปะและให้บริการประชาชนตามจุดต่างๆ
ประชาชนที่พบเห็นจะเกิดความรู้สึกประทับใจ
ผู้กองเต็มใจ ตำรวจยุคใหม่ไม่ทำผิด.
สหบาท
http://www.thairath.co.th/column/region/policeshine/168926วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2554
กระชับพื้นที่มหาวิทยาลัยถูกจับห้าม"สติแตก"
คมชัดลึก : "...กรี๊ดดดดดดด...ช่วยด้วยค่ะ..." เสียงของหญิงสาวกรีดร้องขอความช่วยเหลือ หลังจากถูกชายไม่ทราบชื่อล็อกคอ เอามีดจ่ออยู่ที่คอ ท่ามกลางความตื่นตระหนกตกใจของนักศึกษาและประชาชนที่อยู่บริเวณใต้ตึกโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เป็นอย่างมาก
ขณะที่ตำรวจหลายนายต่างยืนห้อมล้อมพยายามเจรจาช่วยเหลือหญิงสาวที่ตกเป็นเหยื่ออยู่ด้วยใจระทึกแต่มีสติ ส่วนหญิงสาวพยายามแสร้งทำทีว่ายืนไม่ไหว กำลังจะทรุดลงกองกับพื้น...จังหวะนี้เองที่ทำให้คนร้ายเสียจังหวะ ประกอบกับความรวดเร็วที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีของตำรวจเข้าชาร์จจับกุมชายผู้ก่อเหตุได้อย่างฉับไว โดยที่ไม่มีใครต้องบาดเจ็บหรือสูญเสีย !!
นั่นเป็นเพียงเหตุการณ์จำลอง "การจับตัวประกัน" ของนิทรรศการมีชีวิต ตามหลักคิดตำรวจยุคใหม่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก) ที่สอดแทรกแง่คิดและหลักการเอาตัวรอดจากการตกเป็นเหยื่อ ด้วยวิธีการป้องกันไม่ให้ "สติแตก" ส่วนหนึ่งของนิทรรศการ "นักศึกษา-ประชาชน-ตำรวจ" การทำงานเชิงรุกของตำรวจที่ต้องการสร้างความเข้าใจอันดีร่วมกัน
"เหตุการณ์ถูกจับเป็นตัวประกัน เจ้าหน้าที่จะมีการเจรจา ต่อรอง นำน้ำนำอาหารไปให้ ถ้าหากประเมินแล้วว่า ตัวประกันไม่ไหว อาจต้องใช้กระสุนยาง ส่วนคนที่ถูกจับเป็นตัวประกัน ต้องตั้งสติให้ดี พยายามนั่งลงเหมือนคนหมดแรง คนร้ายจะลากไปแล้วจะทำอะไรก็ลำบาก เพราะต้องกังวลว่าตำรวจจะเข้าชาร์จและยังต้องกังวลตัวประกันด้วย" พ.ต.ท.สมบัติ มีมงคล สารวัตรกองกำกับการ 5 กองปราบปราม นายตำรวจที่บุกเข้าชาร์จคนร้ายเมื่อสักครู่ เผยเคล็ดวิธี
พ.ต.ท.สมบัติ ยังบอกด้วยว่า ปัญหาอาชญากรรมนั้นเกิดขึ้นได้จาก 4 ปัจจัย คือ ทรัพย์ เซ็กส์ ศักดิ์ศรี และสติแตก หรือการขาดสตินั่นเอง โดยจะพยายามสอนน้องๆ นักศึกษาให้รู้จักวิธีป้องกันตัวเองเล็กๆ น้อยๆ เช่น หากโดนคนร้ายชิงทรัพย์ด้วยการดึงแขน บีบคอ ต้องทำอย่างไร มีเทคนิคอย่างไร แต่สุดท้ายก็ต้องรีบวิ่งหนีจากคนร้ายให้เร็วที่สุด
"จะมีเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำน้องนักศึกษาอยู่ตามจุดต่างๆ ถ้าใครต้องเจอเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง สติเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะทั้งน้องและตำรวจเอง สติสำคัญที่สุด" พล.ต.ต.เชิด ชูเวช รอง ผบช.ก. เสริมและบอกว่า จะหวังพึ่งตำรวจอย่างเดียว คงไม่สามารถจัดการปัญหาอาชญากรรมได้หมด ต้องอาศัยเบาะแสจากประชาชนเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะ "นักศึกษา" เป็นบุคลากรที่ค่อนข้างบริสุทธิ์ พวกเขาควรรับรู้ มีส่วนช่วยตำรวจได้อย่างไร ตลอดจนรู้ว่าตำรวจกำลังทำอะไรอยู่ ซึ่งตำรวจมีทั้งแง่ดีและไม่ดี พร้อมกันนี้ก็อยากรับฟังคำแนะนำถึงข้อผิดพลาดของตำรวจด้วย
อีกก้าวของการพลิกบทบาทตำรวจยุคใหม่... ลงลึกเข้าถึงพื้นที่กระจายกำลังความรู้สู่ชุมชนและมหาวิทยาลัย เพื่อควบคุมและป้องกันการเกิดอาชญากรรม ด้วยการให้ความรู้และความเข้าใจแก่บรรดานักศึกษา ช่วยกันสำรวจตรวจดูว่าพื้นที่รอบๆ มหาวิทยาลัยกำลังกลายเป็นแหล่งมั่วสุม ยั่วยวนให้ประพฤติตนไม่เหมาะสมหรือไม่
หลังจากเต็มอิ่มกับความรู้จากนิทรรศการเคลื่อนที่ครั้งนี้ นักศึกษาบางอาจเกิดแรงบันดาลใจอยากเป็นตำรวจขึ้นมา ก็ลองมาปรึกษาพี่ๆ ตำรวจในงานนี้ได้ เพราะตอนนี้กำลังเปิดรับสมัครและสอบแข่งขัน บุคคลภายนอกผู้มีวุฒิปริญญาตรี เพื่อบรรจุแต่งตั้งเป็นข้าราชการตำรวจชั้นประทวน พ.ศ.2554 จำนวน 6,600 อัตรา ในสายป้องกันปราบปรามและอำนวยการด้วยพอดี
ส่วนใครพลาดการชมนิทรรศการ "นักศึกษา-ประชาชน-ตำรวจ" ครั้งนี้ ติดตามชมได้อีกครั้งที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงในวันที่ 25-29 เมษายนนี้
วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2554
วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2554
นิทรรศการ“นักศึกษา-ประชาชน-ตำรวจ”
ตร.เดินสายจัดนิทรรศกาลใกล้ชิดนักศึกษา มธ.
วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2554
"พงศ์พัฒน์"เอาจริง ตำรวจยุคใหม่! ไม่รังแก-ไม่รุมทึ้งคนจน
"พงศ์พัฒน์"เอาจริง ตำรวจยุคใหม่! ไม่รังแก-ไม่รุมทึ้งคนจน
"เจ้าพนักงานที่เอาพ่อค้าแม่ค้าไปปรับโดยออกใบเสร็จปลอม ถือว่าไม่เกรงใจคนหาเช้ากินค่ำที่แม้มีรายได้น้อย ก็ยังอุตส่าห์เสียค่าปรับเอาเงินเข้าหลวง แต่เจ้าพนักงานกลับเอาเงินไปเข้ากระเป๋าตัวเอง เบียดบังเงินที่จะเข้าหลวง งานนี้เรียกว่าทุจริตถึง 2 ต่อแบบทูอินวันเลยทีเดียว"
เป็นคำพูดง่ายๆจากใจของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบช.ก. กับการลงมาเป็นแบ็กอัพเล่นงานขบวนการทุจริตปลอมใบเสร็จค่าปรับพ่อค้าแม่ค้า หาบเร่แผงลอยของเจ้าหน้าที่เทศกิจเขตบางรัก
เป็นคดีใหญ่อีกคดี เพราะคนที่เปิดโปงไม่ใช่ คนธรรมดา มีตำแหน่งใหญ่ระดับหัวหน้าเทศกิจเขตบางรัก และผู้เสียหายส่วนใหญ่ที่ตกเป็น "เหยื่อ" คือผู้ค้าหาบเร่แผงลอยหาเช้ากินค่ำ
ไม่มีใครคิดว่าจะเป็นการกระทำของเจ้า-หน้าที่คนเดียว จะต้องมีผู้ร่วมมือทำกันเป็นขบวนการแต่จะเป็นระดับไหนเท่านั้น เพราะเรื่องที่เกิดมานานหลายปี แต่ไม่มีใครดำเนินการเพราะมีผลประโยชน์มากมายเกี่ยวข้อง
แสดงให้เห็นว่า "การทุจริต" เป็นสิ่งที่มีอยู่ในสังคมไทยมานาน ทุกหน่วยงานแต่ละวงการมีการทุจริตที่แตกต่างกันไปตามอำนาจหน้าที่ การให้คุณให้โทษ ช่องโอกาส วัฒนธรรมองค์กร ตลอดจนการตรวจสอบ
เราปฏิเสธไม่ได้ว่า การทุจริต คอรัปชัน มีกันอยู่ทุกวงการ
แต่เป็นนโยบายสำคัญของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ คิดปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมตำรวจที่ว่า "ต้องไม่รังแกประชาชน ไม่รุมทึ้งประชาชน" คาดหวังว่าเมื่อการทุจริตหมดไป สังคมและประเทศชาติก็จะดีขึ้น
โดยเฉพาะองค์กรตำรวจแบบใหม่ ทำอะไรก็ได้ที่ตรงกันข้ามกับที่ทำอยู่ในทุกวันนี้
มีการนำทฤษฎี งานวิจัย ศาสตร์ วิชาการตำรวจที่ได้เคยปฏิบัติมาจนได้รับการยอมรับในต่างประเทศ เป็นเครื่องเตือนสติ ตำรวจรุ่นเก่า-รุ่นใหม่ ก้าวให้ ทันต่อโลกปัจจุบัน จุดประกายการเปลี่ยน แปลงตำรวจ
จากนโยบาย "ตำรวจ ยุคใหม่ ไม่ทำผิด" ที่เกิดจากประสบการณ์จากการปฏิบัติทฤษฎีของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ชี้ให้เห็นถึงข้อแตกต่างของทฤษฎีแบบเก่าและทฤษฎีแบบใหม่ ข้อดี-ข้อเสียของการทำ และไม่ทำให้เห็นความจำเป็นในการปฏิบัติตามแนวทางใหม่ที่ยึดหลักสิทธิมนุษยชน และหลักของความยุติธรรม ได้รับการสนับสนุนจาก พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. ให้จัดนิทรรศการเผยแพร่
ความรู้ให้กับข้าราชการตำรวจและพี่น้องประชาชน จนมีการจัดนิทรรศการใหญ่ "ประชาชนกับตำรวจ" ที่ห้างสยามพารากอน กทม.
การใช้ทฤษฎีใช้แก้ปัญหา ปรับใช้กับสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ โดยล่าสุดมอบหมาย พ.ต.อ. ทินกร รังมาตย์ ผกก.6 บก.ป. อดีตนายตำรวจที่ทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นตัวหลักร่วมกับหน่วย งาน บช.ก.ที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี จัดนิทรรศการ "ใครคือ ผู้ก่อการร้าย"
โดยนำแนวคิดสมัยที่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ เป็น ผกก.2 บก.ป. รับผิดชอบจังหวัดชายแดนภาคใต้ และประสบการณ์สมัยได้เคยผ่านการศึกษาอบรมในหลักสูตรตำรวจของประเทศสหรัฐ อเมริกา แคนาดา และสหราชอาณาจักร มาถ่ายทอดให้ความรู้ประชาชน เจ้าหน้าที่ ภายใต้นิยามว่า
"ผู้ก่อการร้ายเคยชนะในประเทศประชาธิปไตยที่เคารพหลักการด้านสิทธิมนุษยชน"
เป็นการเตือนสติพี่น้องคนไทย โดยนำกึ๋นความรู้ของตำรวจอาชีพประกาศต่อสังคม
พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ไม่หยุดคิดหาทางเปลี่ยน- แปลงสังคม ปรับเปลี่ยนตำรวจให้เป็นตำรวจผู้รับใช้ ชุมชน มองตำรวจกับประชาชนต้องคุ้นเคยกัน เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ช่วยกันแก้ไขปัญหาต่างๆ ก่อนที่จะลุกลามเป็นปัญหาใหญ่จนกลายเป็นอาชญากรรม
เป็นยุคของตำรวจสอบสวนกลางที่ต้องกลับหลังหัน......
"ปัญหาใหญ่ในบ้านเมืองเรา คือคนมองนักวิชาการไม่ได้เป็นผู้ปฏิบัติ นักวิชาการมองผู้ปฏิบัติไม่ใช้วิชาการ กลายเป็นจุดอ่อน คนที่ศึกษาวิชาการ และนำมาปฏิบัติได้ โดยยึดหลักการที่ถูกต้องจะไม่ เกิดความเสียหาย ผิดพลาด งานตำรวจซับซ้อนมาก องค์กรตำรวจที่ดีต้องเรียนรู้อดีต ทำอะไรเกิดผลอย่างไร ไม่ใช่เดินไปข้างหน้าไม่มองผล รู้ว่าทำผิดพลาด คิดแก้เดินทิศทางที่ถูกต้อง"
"บช.ก.พยายามทำให้ได้ทุกเรื่อง แต่ต้องยอมรับว่าทำทั้งหมดพร้อมกันไม่ได้ ต้องสร้างวัฒนธรรมเป็นเรื่องๆไป แต่ที่เน้นที่สุดคือ ไม่รังแกคนจน ไม่รุมทึ้งประชาชนที่พลาดหรือไม่มีทางเลือกต้องสร้างให้เป็นวัฒนธรรม สร้างทุกเรื่องถูกต่อต้านรับไม่ไหว แต่สร้างบางเรื่องเป็นขั้นตอน โอกาสชนะมีสูง ไม่กลัวถูกต่อต้าน แต่กลัวทำไม่สำเร็จ"
พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์เปิดใจเป็นครั้งแรกกับแนวคิดที่ต่างจากตำรวจไทยในอดีต แต่เป็นสิ่งที่ตำรวจทั่วโลกได้รับรู้กันมาแล้ว
"ที่ผ่านมาตำรวจไทยยังไม่มีความรู้เรื่องวิชาตำรวจศาสตร์ (Police Science) และไม่มีการเปิดสอนมาก่อนในประเทศไทย ดังนั้น การปฏิบัติของตำรวจจึงปฏิบัติผิดหลักวิชาการมาโดยตลอด การทำงานทุกวันนี้อาศัยการทำสิ่งที่เคยทำกันมาในอดีต แล้วคิดว่าสิ่งที่ทำต่อๆกันมานั้นคือสิ่งที่ถูกต้อง ไม่มีใครนำมาพิจารณาและศึกษาวิจัยอย่างแท้จริงว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ ถูกหรือผิด เคยทำผิดๆอย่างไรก็ทำตามกันไปอย่างนั้น ตรงกับคำในภาษาวิชาการตำรวจว่า Sacred Cow ซึ่งเปรียบเทียบกับความเชื่อของชาวฮินดู ที่เชื่อเรื่องวัวเป็นสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ไม่มีใครกล้าแตะต้อง คนรุ่นหลังก็ถือปฏิบัติตามๆกันไป"
"จากประสบการณ์ที่มีโอกาสดูงาน ได้ทำงานในหน่วยงานตำรวจสำคัญในหลายประเทศ ทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา และสหราชอาณาจักร เป็นข้อได้เปรียบกว่าคนอื่น จึงทำให้เกิดความฝันในการปรับสถานีตำรวจให้เอื้อต่อการทำงาน คิดสร้างสถานที่ฝึกอบรมของ บช.ก. ที่หนองสาหร่าย จังหวัดนครราชสีมา เพื่อให้เป็นศูนย์กลางในการฝึกอบรมตำรวจทุกหน่วยให้มีความเข้าใจทฤษฎี หลักการปฏิบัติเทียบชั้นต่างประเทศ คิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ตำรวจต้องคิดมานานแล้วแต่ไม่ได้ทำให้เป็นเรื่องราว"
"ตำรวจต้องมีความเข้าใจในเรื่องการป้องกัน สืบสวน และการพูดที่ดี ซึ่งทุกเรื่อง ต้องใช้การฝึกอบรมตามทฤษฎีสมัยใหม่"
"องค์กรที่ดี ต้องเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ดังนั้น ตำรวจจึงควรเริ่มศึกษาหาความรู้เรื่องวิชาตำรวจศาสตร์อย่างจริงจังเสียที เมื่อตำรวจมีความรู้
ก็จะรู้ได้เองว่าอะไรผิดอะไรถูก จากนั้นก็เริ่มตั้งต้นใหม่ ทำในสิ่งที่ถูก เลิกทำสิ่งที่ผิด รู้ว่าทำอะไรจะเกิดผลที่ตามมาอย่างไร ทำเช่นนี้ประชาชนไม่ชอบ"
"การเรียนรู้สิ่งที่ถูกต้องจากวิชาการตำรวจอย่างแท้จริง จะช่วยให้ตำรวจเดินไปถูกทิศทาง ไม่ หลงทิศทางทำผิดๆ เหมือนที่ทำกันอยู่ในทุกวันนี้ ตำรวจต้องเรียนรู้ระหว่างตำรวจ การไม่เคารพ ไม่ให้ เกียรติซึ่งกันและกัน ท้ายที่สุดจะทำให้องค์กรตำรวจละลาย"
"เพราะฉะนั้น ตำรวจต้องรักเข้าใจ เมตตาต่อกัน ตำรวจต้องเรียนรู้ในวิชาการ วิชาสืบสวน วิชาป้องกัน ต้องรู้ว่าคนร้ายมีกี่ประเภท การตั้งโจทย์คนร้ายไม่แตก ทำให้ผิดพลาด"
"ผลจากที่ไม่คิดเรียนรู้วิชาการสมัยใหม่ คิดแต่ว่าเก่ง พูดกันไป 100 ปี เกิดมาอีกชาติไม่มีทางเก่ง หากไม่คิดเรียนรู้สิ่งที่ถูกต้อง การสืบสวนผิดในโลกสมัยใหม่พลาดคือติดคุก ตำรวจเป็นแสนคนสร้างผลงานมาตลอด คนหนึ่งมาทำลาย"
"ผมลงทุนลงแรงมาตลอดระยะเวลา 26 ปี เพื่อจะบอกกับเพื่อนตำรวจ บอกประชาชนว่า ระบบการรักษาความสงบสุขของสังคมไทย รวมทั้งเทคนิคต่างๆจำเป็นต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมากโดยทันที มาถึงวันนี้แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว ส่วนจะเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ นั่นขึ้นอยู่กับทุกคนช่วยกันหรือไม่"
พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ได้แสดงให้เห็นแนวทาง การปฏิบัติงานและการจัดการของตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจไทยหรือตำรวจต่างประเทศ ล้วนมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมาตลอด และยังคงต้องมีต่อไปในอนาคต
เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดในวงการตำรวจ
ไม่มีตำรวจคนไหนมีเครดิตพอที่จะพูดให้ตำรวจยอมรับความผิดพลาด ผิดหลักวิชาการ ความเข้าใจผิด คิดผิดจนทุกวันนี้ โดยเฉพาะวิชาตำรวจศาสตร์.
"ทีมข่าวอาชญากรรม"