หลังประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภา มีผลตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2554 และมีกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 นักการเมืองแต่ละพรรคทยอยเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.ทั้งระบบเขต และระบบบัญชีรายชื่อ “ปาร์ตี้ลิสต์”
นักการเมือง ผู้สมัคร ส.ส. ผู้สนับสนุน “หัวคะแนน” ต่างลงพื้นที่สนามเลือกตั้ง
หลาย พื้นที่ที่มีการแข่งขันสูงกำลังถูกจับตามองกลุ่มผู้มี อิทธิพล มือปืนรับจ้าง และกลุ่มหัวคะแนนสนับสนุนพรรคการเมืองเริ่มเคลื่อนไหวหาเสียงให้ กับผู้สมัครที่สนับสนุน และกดดันผู้สมัครต่างพรรคการเมือง
แม้ อำนาจเต็มๆ ในการเลือกตั้งจะเป็นของคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ที่มีหน้าที่แจกใบเหลือง ใบแดงผู้สมัครที่มีการทุจริตการเลือกตั้ง หรือถึงขั้นประกาศยุบพรรคการเมือง แต่เวทีการเลือกตั้งมีการแข่ง ขันเข้มข้นกว่าการเลือกตั้งในช่วงอดีตที่ผ่านมา ทุกคะแนนมีความหมายต่อทุกพรรค การเมือง และมีผลต่ออนาคตของประเทศ ทั้งพรรคการเมืองใหญ่ หรือพรรคเล็ก ที่มีฐานเสียงในพื้นที่
จึงต้องอาศัยความเข้มข้นของตำรวจเพื่อทำให้ทุกคนอยู่ภายใต้ระเบียบ กฎเกณฑ์ และกฎหมายเลือกตั้ง
สำนัก งานตำรวจแห่งชาติ ที่ทำหน้าที่ผู้ช่วย กกต. มีหน้าที่หลัก คือ การรักษาความสงบเรียบร้อยทั่วไป ซึ่งเป็นงานปกติของตำรวจ และการสนับสนุน กกต. ทั้งการเลือกตั้ง ที่เลือกตั้งกลาง ที่นับคะแนนหรือที่รวมคะแนน ที่เก็บรักษาบัตรเลือกตั้งและหีบบัตรเลือกตั้ง
พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. เป็นแกนหลักสำคัญในการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยการเลือกตั้ง ต้องรับภาระหนักในการจัดแผนเพื่อป้องกันเหตุรุนแรงในช่วงการ เลือกตั้ง
เพื่อทำให้เกิดความมั่นใจในความปลอดภัยของประชาชน และผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.
การแข่งขันของผู้สมัครแบบเขตเดียวเบอร์เดียว ยิ่งเพิ่มดีกรีกว่าการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตใหญ่
ปัญหา ความขัดแย้งของกลุ่มมวลชนหลากสีที่น่าเป็นห่วง ทั้งกลุ่มเสื้อแดง เสื้อเหลือง และกลุ่มคนบางกลุ่มที่ไม่ต้องการให้มีการเลือกตั้ง คนที่ฉวยโอกาสล้างแค้นชิงผลประโยชน์ในช่วงเลือกตั้ง
ล้วนเป็นปัจจัยที่เสี่ยงกับความรุนแรงที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงประเทศ
พล.ต.อ. วิเชียร ต้องอาศัยประสบการณ์ที่ได้ชื่อว่ามีความชำนาญในเรื่องการดูแล ความสงบเรียบร้อยการเลือกตั้ง เพราะอดีตตั้งแต่ที่โยกเข้ามาตำแหน่งประจำ ตร. หรือที่ปรึกษา (สบ 10) เทียบเท่ารอง ผบ.ตร. ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบการเลือกตั้งมาโดยตลอด ทั้งระดับท้องถิ่น และระดับชาติ
จนทำให้ พล.ต.อ.วิเชียร มองภาพการเลือกตั้งได้ครบทุกด้าน และมีกำหนดแผนการเลือกตั้งไว้ล่วงหน้าทั้งการฝึกอบรมในเรื่อง กฎหมายเลือกตั้งให้กับตำรวจ การรณรงค์วางตัวเป็นกลาง การฝึกระบบ รปภ. ผู้สมัคร และหัวคะแนน และการสืบสวนหาข่าวการเคลื่อนไหวของ กลุ่มผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง เพื่อไม่ให้ตำรวจตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมือง
มีการ เสนอ แผนรักษาความสงบเรียบร้อยการเลือกตั้ง และสนับสนุน กกต. หรือ “แผนพิทักษ์เลือกตั้ง 54” ที่มี พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ที่ปรึกษา (สบ 10) เทียบเท่า รอง ผบ.ตร. ทำหน้าที่หัวหน้าศูนย์เลือกตั้ง พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รอง ผบ.ตร. รับผิดชอบศูนย์บริหารวิกฤตการณ์ร้ายแรง
แจกจ่ายอำนาจเด็ดขาด รอง ผบ.ตร. และ ผบช. ที่รับผิดชอบพื้นที่มีส่วนในการดูแลการเลือกตั้ง
โดยเฉพาะ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบช.ก. ที่มีหน่วยกำลังสนับสนุนหลักทั่วประเทศ โดยเฉพาะหน่วยงานสืบสวนสำคัญ “กองปราบปราม” และ พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบช.น. ที่รับผิดชอบสนามเลือกตั้งสำคัญ กทม.
ซึ่งเป็นไฮไลต์ของการเลือกตั้งผู้สมัคร ส.ส. และรับผิดชอบการเคลื่อนไหวชุมนุมประท้วงของกลุ่มคนหลากสี
จะ ต้องอาศัยประสบการณ์ที่ครบเครื่องของทั้ง พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ และ พล.ต.ท.จักรทิพย์ ที่เป็นนักสืบมือปราบ เข้ามาเพื่ออำนวยการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยสงบเรียบร้อย ตามนโยบายเข้มของ พล.ต.อ.วิเชียร
พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ จัดหนักชุดกองปราบปรามกดดันผู้มีอิทธิพลและมือปืนรับจ้าง ดูแลเข้มการขนลำเลียงบัตร และหีบบัตรเลือกตั้งทั่วประเทศ ทั้ง
ทางบก ทางเรือ และทางรถไฟ
พล.ต.ท. จักรทิพย์ เข้มเรื่องการรักษาความปลอดภัยผู้สมัคร ส.ส.ในพื้นที่ กทม. ล้วนแต่เป็นคนใหญ่โตมีชื่อเสียง หากมีเหตุเกิดขึ้นจะเป็นเรื่องใหญ่โต และการขัดขวางการหาเสียงของกลุ่มมวลชนหลากสี
พล.ต.ท.จักร ทิพย์ ชัยจินดา ผบช.น. กล่าวกับ “ทีมข่าวอาชญากรรม” ว่า “ได้กำชับตำรวจนครบาลให้ยึดถือแผนรักษาความสงบเรียบร้อยการเลือก ตั้ง และสนับสนุนคณะกรรมการการเลือกตั้ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ “พิทักษ์เลือกตั้ง/54” ซึ่ง พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. ได้กำหนดรายละเอียดไว้ชัดเจน และคำสั่งของ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รอง ผบ.ตร.ในการติดตามจับกุมมือปืนที่มีหมายจับ และเรียกผู้สมัคร ส.ส.ในพื้นที่ที่มีปัญหาทำความเข้าใจ ไม่ให้ใช้ความรุนแรง รวมทั้งการจัดกำลังเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยผู้สมัคร ส.ส. และผู้สนับสนุน แต่สิ่งที่เน้นย้ำในเรื่องความเป็นกลาง หากพบตำรวจที่มีปัญหาจะมีคำสั่งให้ออกนอกพื้นที่ทันที และหากผลสอบสวนมีความผิดชัดเจนจะดำเนินการทางวินัยและอาญา ทันที”
“พื้นที่ กทม.แบ่งเป็น 33 เขตเลือกตั้ง และ 6,506 หน่วยเลือกตั้ง มีเขตเลือกตั้งที่มีการแข่งขันสูงที่ต้องจับตาใกล้ชิดไม่ เกิน 5 เขต คือ เขตบางกะปิ เขตบึงกุ่ม เขตดอนเมือง เขตสายไหม และเขตท่าเรือ แต่ในปีนี้มีทายาท ลูกหลานของผู้ใหญ่ที่เป็นคนรุ่นใหม่ลงสมัครในหลายเขตเลือก ตั้ง แตกต่างจากทุกปี ซึ่งทุกคนไม่นิยมความรุนแรง ทำให้การแข่งขันในพื้นที่ กทม. ไม่หนักเหมือนต่างจังหวัด ไม่น่าเป็นห่วงเหตุรุนแรงกับกลุ่มผู้สมัคร เพราะผู้สมัครไม่ค่อยมีคู่กรณี และไม่มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มมือปืนในพื้นที่ กทม. ถ้าจะตามเป็นเรื่องหัวคะแนน หรือผู้สนับสนุน ซึ่งตามตัวได้เพราะรู้กลุ่มหัวคะแนนของทุกพรรคการเมือง ได้มอบให้ พล.ต.ต.สุเมธ เรืองสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบก.ศสส.บช.น. และ พล.ต.ต.ธนพล สนเทศ ผบก.ตปพ. สืบสวนหาข่าวการเคลื่อนไหวของกลุ่มที่คิดก่อเหตุรุนแรงในช่วง การเลือกตั้ง”
“บช.น.จะต้องจัดกำลังตำรวจประจำหน่วยเลือก ตั้งที่มี 6,506 หน่วยเลือกตั้ง อย่างน้อย 1 นายประจำหน่วยเลือกตั้ง จัดชุดสืบสวนหาข่าว ชุดเคลื่อนที่เร็ว คิดว่าจะต้องใช้กำลังไม่น้อยกว่า 10,000 นาย เพื่อให้เกิดความเรียบร้อยในการเลือกตั้ง แต่ที่เป็นห่วงคือ กกต.มีคำสั่งให้เปิดนับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้ง ซึ่งอาจจะมีปัญหาในเรื่องผู้สนับสนุนที่มีปัญหาการนับคะแนน หรือมีปัญหาในหน่วยเลือกตั้ง ซึ่งกำลังตำรวจ และ กกต.ประจำหน่วยเลือกตั้งอาจไม่เพียงพอหากผู้สนับสนุนมีจำนวนมาก ได้สั่งให้ตำรวจประจำหน่วยเลือกตั้งมีกล้องหรือโทรศัพท์มือถือ ที่ถ่ายภาพได้เก็บบันทึกภาพไว้เป็นหลักฐาน และจัดชุด ปจ.ประจำที่ตั้งหากมีเหตุเร่งด่วน”
พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบช.ก.ย้ำว่า “ได้จัดกำลังชุดสืบสวนจำนวน 345 ชุด แยกเป็นชุดธรรมดาที่มีการสนธิกำลังตำรวจ 11 บก.ในสังกัด บช.ก. จำนวน 265 ชุด และชุดปฏิบัติการพิเศษ จำนวน 80 ชุด ตามนโยบายของ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. เพื่อกดดันหาข่าวการเคลื่อนไหวก่อเหตุรุนแรง และการทุจริตการเลือกตั้ง ลงพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้มือปืนน้อยลงกว่าสมัยก่อนมาก แต่ได้สั่งกองปราบปรามที่มีข้อมูลผู้มีอิทธิพล
และมือปืนทั่วประเทศเข้ากดดันในพื้นที่ โดยกำชับให้เจ้าหน้าที่ทุกนายจะต้องเป็นกลาง ซึ่งเป็นนโยบาย ผบ.ตร.ที่เน้นย้ำมาโดยตลอด อย่าเอนเอียงเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดโดยการเลือกตั้งครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสที่ทุกคนจะได้ช่วยชาติอีกวาระหนึ่ง เด็ดขาด ศักดิ์ศรีของตำรวจที่อยู่วางตัวเป็นกลาง จะต้องเรียนรู้ว่าการเข้าข้างฝ่ายใดจะเกิดปัญหา คดีที่แจ้งใช้รูปแบบของคณะกรรมการพิจารณาเพื่อให้เกิดความ เป็นธรรมทุกฝ่าย”
แม้สภาพสังคมไทยในช่วงหลายปี จะมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักการเมืองสนับสนุนมวลชนหลากสี จนทำให้เกิดความขัดแย้งรุนแรง แต่สิ่งที่พี่น้องคนไทยต้องเข้าใจคือกฎกติกากฎหมายบ้านเมือง เพื่อให้ประเทศของเราเดินหน้าไปได้
บ้านเมืองจะต้องมีกฎหมาย มีขื่อมีแป ไม่ใช่ปล่อยให้ “กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย”
ซึ่ง เป็นหน้าที่สำคัญของ กกต. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะต้องประคับประคองการเลือกตั้งให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย เพื่อไม่ให้เกิดเงื่อนไขจนสังคมรับผลการเลือกตั้งไม่ได้
ไม่ใช่เอื้อประโยชน์หรือพรรคการเมืองใดๆทั้งสิ้น
ชื่อ ชั้นของ พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบช.น. และ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบช.ก. คงทำให้การเลือกตั้งที่เข้มข้นครั้งนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ตามกติกาสากลตามหลักประชาธิปไตยที่ทุกฝ่ายเคารพอ้างอิง
กลายเป็นความหวังของประเทศอีกครั้งกับการคืนสู่ความสงบเรียบร้อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามัคคีของคนในชาติที่ทุกคนโหยหา.
ที่มา
http://www.thairath.co.th/column/region/trialweek/174782