อีกหนึ่งโครงการดีๆ เพื่อการพัฒนาวงการสีกากี คือ "โรงเรียนตำรวจนอกเวลา" อันเกิดจากดำริของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ภายใต้กรอบการพัฒนาบุคลากรตำรวจของ บช.ก. โดยแม่ทัพสอบสวนกลาง มุ่งหมายให้โครงการนี้ เป็นโครงการนำร่องที่จุดประกายเรื่องสถาบันแห่งความรู้ นำไปสู่วิธีการปฏิบัติของตำรวจสมัยใหม่
จากกรอบการพัฒนาบุคลากรตำรวจของ บช.ก.ซึ่งเปรียบเสมือนหลักการและเหตุผลในการดำเนินโครงการ ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ระบบตำรวจไทย ระบบสังคมไทย เทคโนโลยีใหม่ๆ และความไม่รู้ในหลายๆ เรื่อง ได้ทำร้าย ทำลายคนดีๆ คนเก่งๆ ขององค์กรตำรวจและสังคมไปมากมาย จึงถึงเวลาที่ทุกคนต้องร่วมมือกันคืนคนดีและคนเก่งให้กับองค์กรตำรวจ และสังคม โดยสิ่งแรกที่ ต้องทำ คือ การให้ความรู้ที่ถูกต้อง พัฒนาบุคลากรของตำรวจอย่างถูกวิธี
"การพัฒนาบุคลากรเป็นเรื่องสำคัญใครๆ ก็รู้ โดยเฉพาะสังคมมนุษย์นั้น เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา สังคมไทย สังคมโลกในอดีตกับปัจจุบันนั้นต่างกันเหลือเกิน ตำรวจต้องทำงานกับสังคม ทำงานกับมนุษย์จึงต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเทคนิค วิธีการ ให้เท่าทัน และทำความเข้าใจเรื่องมนุษย์ให้มาก" พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ กล่าว
ทั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความรู้ของตำรวจในปัจจุบันสลับซับซ้อนขึ้น โดยมีผลการวิจัยพบว่า หลักการและวิธีการเดิมๆ นั้น ผิดมากมายหลายเรื่อง แต่ก็ยังเห็นใช้กันอยู่ ขณะที่เรื่องดีๆ อีกมากที่พบใหม่ ตำรวจไทยกลับไม่นำมาใช้ ไม่เรียนรู้ หรือไม่มีใครช่วยผู้ปฏิบัติอย่างจริงจัง
ผลของการใช้วิธีการแบบผิดๆ แบบรู้ไม่เท่าทันในงานตำรวจ ก็มีแต่จะทำร้ายองค์กรตำรวจและสังคม หรืออาจ กล่าวได้ว่าตำรวจที่ไม่ได้พัฒนา ไม่ได้ปรับปรุงเทคนิค วิธีการของตนเองให้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงของสังคม หรือไม่ได้รับเอาความรู้ใหม่ที่วงการตำรวจโลกค้นพบ และพิสูจน์แล้วว่า ได้ผลมาปฏิบัตินั้น ก็เป็นอันเชื่อได้ว่า จะต้องสร้างความเสียหาย ต่อองค์กรตำรวจหรือสังคมไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง
"เป็นไปไม่ได้ที่เรียนจบจากสถาบันตำรวจแล้วไม่ศึกษา หาความรู้เพิ่ม หรือปรับปรุงเทคนิควิธีการของตนเอง แล้ว คิดว่าจะสามารถทำประโยชน์ให้กับสังคมและเป็นตำรวจที่ดี ได้เต็มที่" ผบช.ก.กล่าวย้ำถึงการเป็นตำรวจสมัยใหม่ที่มุ่งกระตุ้น เตือนให้ตำรวจหมั่นเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างสม่ำเสมอ
ด้วยผลการศึกษาวิจัยดังกล่าวข้างต้น ผบช.ก.ยังใช้ประสบการณ์การทำงานกว่า 35 ปี สังเกต ค้นคว้า นำมาประกอบกับหลักวิชาตำรวจ ยืนยันถึงวงจรอุบาทว์ในงานตำรวจ ที่เริ่มต้นด้วยความดีแต่กลับจบด้วยหายนะ ซึ่งพบเห็นอยู่หลายกรณี บางครั้งก็เป็นเพราะความไม่รู้ ไม่ได้ศึกษาในสิ่งที่ถูก หรือเห็นรุ่นพี่ทำ กันมาก็ทำกันไป จุดนี้จึงต้องเร่งช่วยเหลือและแก้ไขปัญหา
ทั้งนี้ มีข้าราชการตำรวจที่มี ความตั้งใจดีมีจำนวนไม่น้อย และที่อาจสิ้นหวังหมดหวังก็มีมาก บางส่วนได้เคยพยายามแก้ไขแล้วก็มีข้อโต้แย้ง จริงแล้วตำรวจทั้งโลกก็เจอปัญหาเหมือนกัน บางประเทศหนักยิ่งกว่าเราหลายเท่าเขาก็ยังแก้กันได้ ทุกวันนี้ตำรวจในประเทศต่างๆ หลายประเทศสามารถทำงานอย่างมีความสุข ประชาชนเป็นสุข สังคมเป็นสุข จึงเชื่อว่าศักยภาพของตำรวจไทยก็ทำได้ " ขอให้คิดด้านดี ตั้งใจ มั่นใจ" ช่วยกันเริ่มต้นในสิ่งที่ดี
จากสิ่งที่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ตระหนักถึงข้อปัญหา ที่ต้องเร่งดำเนินการ จึงเรียก รองผบช.ก.และผบก.ต่างๆ ในสังกัด เข้าร่วมสัมมนากำหนดกรอบแนวทางในการพัฒนา บุคลากรของบช.ก.มีการกำหนดวิชาเรียนหลักของโครงการ ประกอบด้วย 1.ปรัชญาตำรวจไทย (Thai Police Philosophy) 2.ปรัชญาตำรวจโลก Police Philosophy) 3.ตำรวจผู้รับใช้ชุมชน (Community Policing) 4.เทคนิคการรักษาชีวิตให้รอดในการปฏิบัติหน้าที่ (Street Survival) 5.ตำรวจต้องรู้จักเรียนรู้ผลการกระทำของตน คือ ผลการวิจัย อะไรที่ทำแล้ว ไม่ได้ผลตามที่ต้องการ (What doesn't work) ผลการวิจัย อะไรที่ทำแล้วได้ผลตามที่ต้องการ (What works) 6.การสืบสวนสมัยใหม่ (New Modern Investigation) 7.การนำตำรวจที่มีคุณภาพทั้งระบบ (Total Quality) และ 8.การทุจริตและพฤติกรรมเบี่ยงเบนของตำรวจ (Police Corruption and Police Deviance)
ส่วนวัตถุประสงค์สำคัญ ก็จะมุ่งให้ความรู้ที่ถูกต้อง เพื่อใช้เป็นแกนกลางหรือหลักการพื้นฐานแก่ตำรวจแต่ละหน่วย ก่อนนำไปฝึกฝน หาความรู้เพิ่มเติมในรายละเอียดของแต่ละคน แต่ละงาน แต่ให้เป็นไปในแนวทางที่สอดประสานกับหลักการ พื้นฐาน ไม่หลงทิศ หลงประเด็น ผิดเพี้ยนไป หรือกระทำผิดเทคนิควิธีการ ซึ่งแย่ที่สุด คือ กระทำผิดกฎหมาย ที่มักมี คำกล่าวอ้างว่า "ละเมิดกฎหมายเพื่อรักษากฎหมาย" เพราะนั่นคือ การทำร้ายองค์กรตำรวจ
สำหรับการเริ่มต้นโครงการ "โรงเรียนตำรวจนอกเวลา" นั้น ผบช.ก.ได้ถ่ายทอดความรู้ให้กับ รองผบช.ก.ก่อนจะส่งต่อไปยังผู้บังคับการ (ผบก.) ในสังกัด จากนั้นจึงกระจาย การถ่ายทอดความรู้ไปสู่ข้าราชการตำรวจในระดับชั้นสัญญาบัตร จนถึงชั้นประทวนของแต่ละกองบังคับการ โดยอาศัย ความสมัครใจของตำรวจที่จะเข้าร่วมโครงการ ไม่มีการบังคับ และจะใช้ช่วงเวลาที่นอกเหนือจากเวลาราชการเพื่อไม่ให้กระทบกับการ ปฏิบัติภารกิจประจำ นอกจากนี้ในการดำเนินโครงการดังกล่าวจะมีการประเมินผลจากนักวิชาการ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกทุกเดือน
หากโครงการนี้ประสบผลสำเร็จ ก็จะมีตำรวจที่สามารถเป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้ส่งต่อถึงกันเพิ่มมาก ขึ้น และการปรับเทคนิควิธีการทำงานของตำรวจสมัยใหม่จะมีประสิทธิผล ซึ่งเมื่อถึงวันนั้น ก็เป็นไปได้ว่า โครงการนี้อาจได้รับการขยายผลต่อไปยังกองบัญชาการอื่นๆ กระทั่งสามารถขับเคลื่อนการพัฒนาองค์กรตำรวจได้ทั้งองคาพยพ
ขอบคุณที่มา
หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.ryt9.com/s/nnd/1218162
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น