ผลการปฏิบัติงานโครงการ "ตำรวจกองปราบปรามผู้รับใช้ชุมชน" (Community Policing) กองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง จัดทำโดย
คณะกรรมการตรวจสอบ ติดตามและประเมินผลโครงการ ตำรวจกองปราบรามผู้รับใช้ชุมชนของกองบังคับการปราบปราม
- พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) เป็นผู้บุกเบิกนำทฤษฎีตำรวจผู้รับใช้ชุมชน และทฤษฎีหน้าต่างแตกมาประยุกต์ใช้ในการบริหารงานตำรวจไทย
- เมื่อครั้ง พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ครองยศ พล.ต.ต. ตำแหน่ง ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปราม (ผบก.ป.) ได้กำหนดให้ กก. 1-6 และกก.ปพ.บก.ป. ทำโครงการตำรวจกองปราบปรามผู้รับใช้ชุมชน (Community Policing)
- มีการฝึกอบรมหลักสูตรให้ตำรวจผู้ปฏิบัติ
- ระยะเวลาดำเนินงานตามโครงการ 3 เดือน (กันยายน - พฤศจิกายน 2550)
- ตั้งศูนย์ 24 ชั่วโมง ในชุมชน 7 แห่งในกรุงเทพฯและปริมณฑล คือ
ชุมชนซอยลาดพร้าว 21 ถ.ลาดพร้าว แขวงจอมพล เขตจตุจักร
ชุมชนสหกรณ์ 93 แขวงคลองสิบ เขตหนองจอก
ชุมชนวัดบางน้ำชน ถ.เจริญกรุง แขวงบุคคโล เขตธนบุรี
ชุมชนประชาร่วมใจ หลังสถานีรถไฟบางเขน เขตจตุจักร
ชุมชนเป็นสุข ซ.อินทามะระ 10 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท
ชุมชนซอยสวนเงิน ถนนพระราม 6 แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี
ชุมชนซอยดรุณ แขวงและเขตดินแดง
- พ.ต.อ.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ รอง ผบก.ป. (ยศตำแหน่งในขณะนั้น) ประธานคณะกรรมการตรวจสอบ ติดตาม และประเมินผล
โครงการตำรวจกองปราบปรามผู้รับใช้ชุมชนของกองบังคับการปราบปราม
- เอกสารชิ้นนี้เป็นผลการปฏิบัติการอิงหลักวิชาการจัดทำรายงานเพื่อรวบรวม
แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ข้อมูล ข้อเท็จจริง และผลการปฏิบัติ
- ทฤษฎีหลักๆที่นำมาประยุกต์ใช้ คือ ทฤษฎีตำรวจผู้รับใช้ชุมชน ทฤษฎีหน้าต่างแตก และทฤษฎีการควบคุมอาชญากรรมจากสภาพแวดล้อม
- ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ เป็นผู้นำทฤษฎีควบคุมอาชญากรรมจากสภาพแวดล้อมเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทยเพื่อให้นำหลักการวางผังเมืองมาประยุกต์ใช้ คำนึงถึงความสำคัญของการป้องกันและคาบคุมอาชญากรรมโดยการออกแบบสภาพแวดล้อมให้เอื้ออำนวย
- โครงการนี้มุ่งเน้นให้เกิดความรู้ ความเข้าใจแนวคิด ปรัชญา และหลักการปฏิบัติงานตำรวจ ลักษณะที่มุ่งผลสำเร็จต่อการลดความหวาดระแวงของประชาชน พร้อมกับลดจำนวนคดีอาชญากรรมในคราวเดียวกัน
- เป็นงานปลูกฝังวิธีคิดและวิธีปฏิบัติ "งานตำรวจผู้รับใช้ชุมชน" ที่มีคุณประโยชน์ต่อชุมชน สถาบันตำรวจ และสังคมโดยรวม
- เป็นแนวทางตำรวจเชิงรุก (Proactive Policing)
- แนวทางแก้ปัญหาอาชญากรรมที่ถูกต้องและได้รับการยอมรับว่ามีประสิทธิผลดี คือ การมุ่งเน้นการป้องกัน มากกว่า การปราบปรามอาชญากรรม
- แนวคิดเดิม "ประชาชนช่วยตำรวจ" เปลี่ยนเป็น "ตำรวจช่วยประชาชน"
- งาน ป้องกันบางทีไม่น่าสนใจเท่างานปราบปรามเพราะอยู่เบื้องหลัง สู้มือปราบไม่ได้ทำงานเดียวก็ดัง แต่มือป้องกันทำงานอยู่หลายปี ยังไม่ค่อยมีใครถามถึง
- ตำรวจผู้รับใช้ชุมชนกับงานตำรวจชุมชนสัมพันธ์นั้นแตกต่างกัน
- ความสำเร็จขึ้นอยู่กับประชาชน ไม่ใช่ความเก่งกาจของตำรวจ
- ความสำเร็จระดับสูงสุด คือ ประชาชนในชุมชนไม่มีความหวาดระแวงภัยอาชญากรรม เนื่องจากประชาชนในชุมชนร่วมมือป้องกันอาชญากรรมได้ด้วยชาวชุมชนเอง โดยมีตำรวจเป็นแกนหรือคอยช่วยเหลือสนับสนุน
- ถึงแม้ระยะเวลาการดำเนินการสั้นๆ ยังไม่สามารถสรุปผลหรือหาข้อยุติได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ก็เป็นประโยชน์มากในการเรียนรู้ทำความเข้าใจผู้ปฏิบัติและผู้เกี่ยวข้อง
- ผลสำเร็จหนึ่งของโครงการทำให้คนในชุมชนเกิดความไว้วางใจแจ้งข้อมูลเบาะแสยาเสพติดจนนำไปสู่การจับกุมได้จำนวนหนึ่ง
- จากการตรวจสอบข้อมูลคดีอาชญากรรมจากตำรวจท้องที่พบว่า ในชุมชนที่เข้าร่วมโครงการไม่มีเหตุอาชญากรรมร้ายแรงในรอบ 3 เดือนที่เข้าไปดำเนินโครงการ
- สมควรที่จะนำไปเป็นประยุกต์เป็น "ตัวแบบ" (Model) ในการป้องกันอาชญากรรมของตำรวจไทย ในการป้องกันอาชญากรรมเชิงรุกสมัยใหม่ในศตวรรษที่ 21 เพื่อประชาชนในชุมชนอื่นๆทั่วประเทศต่อไป
- ยุติธรามสมานฉันท์ (Restorative Justice) และยุติธรรมชุมชน (Community Justice) ล้วนสอดรับหรือเป็นแนวทางเดียวกับตำรวจผู้รับใช้ชุมชนทั้งสิ้น รวมทั้งยังสอดรับ กับแรวคิดชุมชนเข้มแข็ง หรือพลังแผ่นดินต่อต้านยาเสพติด หรือแม้กระทั่งแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง คือ มีวัตถุประสงค์ให้ครอบครัว ชุมชน พึ่งพาตนเองได้
- การป้องกันต้นเหตุของปัญหาอาชญากรรมในชุมชน ประกอบกับ งานจับกุมปราบปรามต่างหากที่จะเป็นคำตอบของความสำเร็จในการทำงานตำรวจ
- ความเป็นจริงที่ดำรงอยู่กับวงการตำรวจบ้านเราในปัจจุบัน ย่อมไม่ใช่เรื่องปุบปับที่ทำได้ง่ายๆ หรือทำได้เร็วๆอย่างที่ใจต้องการ
- การเปลี่ยนแปลงโดยเหมาะควร ต้องเริ่มต้นด้วยการสร้างและปลูกฝังความคิดความเข้าใจที่ถูกต้องก่อน จึงเกิดการปฏิบัติ และผลลัพธ์ที่ถูกต้อง
..........LL..........
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น