ตามดู “สตูลโมเดล” ความมุ่งหวังเพื่อดับไฟใต้
วันพุธ ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555, 02.00 น.
หากใครที่ผ่านไปผ่านมาตามสถานีตำรวจต่างๆ ทั่วประเทศ จะพบว่าหลายๆ พื้นที่
จะมีป้ายโฆษณาแปลกๆ ทำนองว่า “เดินหน้า อย่าถอยหลัง” พร้อมๆ
กับรูปภาพวิวัฒนาการของมนุษย์ คงจะรู้สึกสงสัยว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร
ซึ่งจริงๆ แล้ว
คำขวัญและการโฆษณาดังกล่าวเป็นการเตือนให้ข้าราชการตำรวจทุกนายทราบและตื่น
ตัวว่าตำรวจยุคใหม่จะต้องเปลี่ยนแปลง จากที่มุ่งเน้นแต่การบังคับใช้กฏหมาย
(Law Enforcement) แต่เพียงอย่างเดียว
มาเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับพี่น้องประชาชนมากขึ้น หรือที่เรียกว่า
“ตำรวจผู้รับใช้ชุมชน”
อันเป็นแนวคิดใหม่ที่ใช้ได้ผลมาแล้วในประเทศสหรัฐอเมริกาโดยหลังจากที่มีนโยบายดังกล่าวในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่าหลายพื้นที่เริ่มนำแนวคิดนี้ไปปฏิบัติกันบ้างแล้ว วันนี้สกู๊ปหน้า 5 จะพาไปเรียนรู้ “สตูลโมเดล” หรือการนำแนวคิดตำรวจผู้รับใช้ชุมชนไปใช้ในพื้นที่ จ.สตูลอย่างได้ผลว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร และได้ผลอย่างไรบ้าง
เปิดตัว “สตูลโมเดล”
“ที่ผ่านมา ผบก.ป.ได้ส่งเสริมให้กองกำกับการ (กก.) 1-6 และ
กก.ปพ.บก.ป.ซึ่งมีพื้นที่รับผิดชอบทั่วราชอาณาจักร ให้จัดทำโครงการ
“ตำรวจผู้รับใช้ชุมชน” หรือนโยบาย “Community Policing” ตามที่
ผบช.ก.ได้ให้แนวทางไว้
ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ชัดว่ามีการดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอนและได้รับการตอบ
รับจากพี่น้องประชาชนเป็นอย่างดี” เป็นเสียงจาก พ.ต.อ.ทินกร รังมาตย์ ผกก.6 บก.ป.
ซึ่งโดยตำแหน่งหน้าที่นั้นจะรับผิดชอบพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
กล่าวถึงความคืบหน้าของโครงการตำรวจผู้รับใช้ชุมชน
ซึ่งโดยภาพรวมในพื้นที่แล้วมีแนวโน้มไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆความเป็นมาของความสำเร็จที่เกิดขึ้นครั้งนี้ พ.ต.อ.ทินกร เปิดเผยว่า ขอบเขตหน้าที่รับผิดชอบของ กก.6 บก.ป.คือพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่ามีปัญหาเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นอย่างต่อ เนื่อง ซึ่งทาง พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ ผบช.ก. เล็งเห็นถึงปัจจัยพื้นฐานของปัญหา และแนวทางการแก้ไขตามแนวพระราชดำริ “เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา” เราจึงเริ่มเข้าไปในพื้นที่ชุมชนบ้านหัวทาง จ.สตูล เริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2554 สิ้นสุดในเดือนกรกฎาคม 2555 รวมระยะเวลา 18 เดือน
“ส่วนสาเหตุที่เลือกพื้นที่ดังกล่าวเนื่องจากเป็นชุมชนเข้มแข็งมี รากฐานความสามัคคีอยู่ภายในชุมชน เป็นตัวอย่างการอยู่ร่วมกันของชาวบ้านซึ่งทั้งหมดเป็นชาวมุสลิม และเป็นพื้นที่ซึ่งยังไม่ได้ถูกคุกคามจากกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบเช่นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมอบมหาย ด.ต.สุทธินันท์ อนันราฐาน และ ด.ต.อัต จีเบญจะ ผบ.หมู่ กก.6 บก.ป.ที่มีพื้นเพอยู่ในพื้นที่ เข้าไปพบ นายวัชรินทร์ อบทอง โต๊ะอีหม่ามมัสยิดเราดอตุ้ลญันนะห์ (หัวทาง) นายเจษฎา เส็นหละ ผู้นำชุมชนดังกล่าว และนายสามัญ ช่างนุ้ย แกนนำชาวบ้าน” ผกก.6 บก.ป.กล่าว
ใส่ใจแม้เป็นเพียง “เรื่องเล็กๆ น้อยๆ”
เมื่อพูดถึงคดีอาชญากรรมกับตำรวจ
ปัญหาประการหนึ่งที่ทำให้ประชาชนไม่ค่อยไว้วางใจหรือเชื่อมั่นในตำรวจมากนัก
เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจมักมุ่งทำคดีใหญ่ๆ
ที่ให้ผลงานได้มากและเป็นที่สนใจของสื่อมวลชน แต่คดีย่อยๆ เช่นอุบัติเหตุ
ลักเล็กขโมยน้อยหรือวัยรุ่นเสพยาเสพติดที่เกิดขึ้นได้บ่อยกว่าไม่ค่อยได้รับ
ความสนใจมากนัก แต่แนวคิดตำรวจผู้รับใช้ชุมชนนี้จะคิดกลับกัน
คือแม้เป็นคดีเล็กๆ ไม่น่าสนใจ ก็ต้องให้ความสำคัญ
เพราะถือว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวประชาชนในท้องที่มากที่สุด“หลังจากนั้น เราก็เริ่มต้นชี้แจงถึงวัตถุประสงค์ที่เข้ามาทำโครงการตำรวจผู้รับใช้ชุมชน ก่อนจะส่งตำรวจเข้ามาคลุกคลีอยู่กับชาวบ้าน สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจเหมือนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน คอยให้ความรู้ การปรับสภาพชุมชนไม่ให้เอื้อต่อการก่ออาชญากรรม ช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ตั้งแต่คดีลักเล็กขโมยน้อย การลักลอบค้าและเสพยาเสพติด ตลอดจนช่วยงานถางหญ้าในกุโบร์ ทำความสะอาด ประสานติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างในจุดที่เสี่ยงต่อการเกิดอันตราย ซึ่งเราไม่คิดว่าไม่ใช่หน้าที่ของตำรวจ เพราะนั่นคือสิ่งที่ชาวบ้านเขาต้องการความช่วยเหลือ เป็นสิ่งที่เขาขาดและเราสามารถทำได้” พ.ต.อ.ทินกร กล่าว
นอกจากนี้แล้ว ยังมีความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในรัฐ ปะลิส ประเทศมาเลเซียอีกด้วย โดย ผกก.6 บก.ป.กล่าวว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจจากมาเลเซียมาเยี่ยมชมโครงการ และเราได้สรุปผลการเยี่ยมชมไว้ 8 ข้อ เตรียมไว้ปรับใช้กับชุมชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป สำหรับโครงการตำรวจผู้รับใช้ชุมชนนี้ เมื่อนำมาปฏิบัติกับชุมชนบ้านหัวทางจนเกิดผลสำเร็จ ได้รับการพิจารณาว่าเป็นต้นแบบ หรือ “สตูลโมเดล” ของโครงการนี้ ตนต้องขอยกเครดิตต่างๆ ให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ใต้บังคับบัญชาทุกนาย และคนในชุมชนดังกล่าวที่ร่วมมือร่วมใจกันและคิดว่าเรื่องนี้ถือเป็นการทำ ความดีเพื่อสังคมร่วมกัน
ทำไมถึงเริ่มที่ “กองปราบ”
มีข้อสงสัยกันว่าเหตุใดโครงการนี้จึงเริ่มต้น และประสบความสำเร็จเป็นโครงการนำร่องที่กองปราบปราม ก็ได้รับคำตอบที่น่าสนใจ โดย พ.ต.อ.อธิป แท่นนิล ผกก.ปพ.บก.ป.
เปิดเผยว่า ในส่วนของชุมชนบ้านหัวทาง จ.สตูล
ที่ตนได้ร่วมลงพื้นที่ไปด้วยพบว่า
กว่าตำรวจที่ถูกส่งไปอยู่ร่วมกับชาวชุมชนจะได้รับการยอมรับและพูดคุยด้วย
อย่างเป็นมิตรนั้นต้องใช้เวลาแรมปีทีเดียว
เนื่องจากอิหม่ามซึ่งเป็นผู้นำชุมชนด้วยนั้นยังไม่ไว้วางใจเรา
และยังคงมีทัศนคติที่ไม่ดีกับตำรวจ เพราะภาพลบในความคิดของชาวมุสลิม
คือภาพเจ้าหน้าที่รัฐที่มักจะปฏิบัติกับชาวมุสลิม อย่างพลเมืองชั้น 2
และตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองไม่ว่าจากหน่วย
งานไหน เข้ามาในชุมชนอย่างจริงใจ
จะมีก็เพียงแต่เจ้าหน้าที่บางรายที่เข้ามาสำรวจข้อมูล
หรือทำงานวิจัยแล้วก็หายไป“แต่หลังจาก พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ผบช.ก.เข้าไปหาชาวชุมชนด้วยตนเอง ทำให้ผู้นำชุมชนและชาวบ้าน รู้สึกว่าได้รับความจริงใจ และเปิดปากบอกกล่าวถึงสิ่งที่สะท้อนสภาพปัญหาระหว่างชาวมุสลิมกับเจ้า หน้าที่รัฐ โดยเฉพาะ ทหารและตำรวจ ที่ถูกเกลียดชังจากชาวบ้าน เนื่องจากส่วนใหญ่มักจะถูกจับผิด ถูกมองในภาพที่ไม่ดี บางคนก็ไม่รู้ขบมธรรมเนียม วิถีปฏิบัติของชาวบ้าน เช่น ชาวบ้านสวมหมวกกะปิเยาะห์ ขับจักรยานยนต์ออกจากบ้านพักก็ถูกจับในข้อหาไม่สวมหมวกกันน็อก เหล่านี้เป็นต้น” พ.ต.อ.อธิป กล่าว
ขณะที่ทางฝั่งประชาชน นายสามัญ ช่างนุ้ย แกนนำชาวชุมชนบ้านหัวทาง กล่าวขอบคุณ ผบช.ก. ที่ส่งตำรวจเข้ามาปฏิบัติงานในชุมชน ทำให้ประชาชนรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับตำรวจ ตรงข้ามกับเมื่อก่อนที่เห็นตำรวจแล้วไม่อยากเข้าใกล้ หรือบางคนก็เกลียดตำรวจ แต่ทุกวันนี้ชาวชุมชนถือว่าตำรวจเป็นเพื่อน เหมือนเป็นพี่น้อง มีอะไรก็บอกกัน ช่วยกันป้องกันและแก้ไขปัญหาต่างๆ ทำให้ปัญหายาเสพติด เหตุลักทรัพย์ที่เคยมีในอดีตก็ไม่เกิดขึ้นในชุมชนอีกเลย
“ตำรวจผู้รับใช้ชุมชนเป็นโครงการที่ดีมากเราอยากให้โครงการนี้อยู่ กับชุมชนบ้านหัวทางตลอดไป และถ้าเป็นไปได้ อยากให้นำไปใช้กับที่อื่นทั่วประเทศ” นายสามัญ กล่าวทิ้งท้าย
“โครงการตำรวจผู้รับใช้ชุมชน” เป็นนโยบายที่ริเริ่มโดยสำนักงานตำรวจสอบสวนกลางที่มี พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ เป็นหัวเรือใหญ่ มีสาระสำคัญคือ 5 ทฤษฎี และ 1 หลักการ ซึ่งเป็นแนวทางการทำงานของตำรวจสมัยใหม่ ให้ถูกนำมาใช้กับตำรวจในสังกัด บช.ก.ทุกนาย เริ่มที่การปรับพฤติกรรมของตัวเอง ใครที่เคยประพฤตินอกลู่นอกทางก็ให้กลับหลังหัน เริ่มต้นที่ตนเอง ก่อนจะเริ่มทำงานรับใช้พี่น้องประชาชน หรือเป็นการ “คืนคนดีสู่สังคม” ซึ่งเป็นที่ยอมรับและเป็นต้นแบบให้กับตำรวจทุกหน่วยงานทั่วประเทศ
สำหรับ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นับเป็นหนึ่งในหน่วยงานสำคัญที่เปรียบเสมือนเคี้ยวเล็บของ บช.ก.ซึ่ง ผบช.ก.ทุกยุคสมัย ต่างให้ความไว้เนื้อเชื่อใจในการทำงานดั่งคำขวัญที่ว่า “ที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน” โดยภายใต้การนำของ พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปราม (ผบก.ป.) ได้เล็งเห็นความสำคัญและพร้อมสนองนโยบายของ ผบช.ก. โดยเริ่มที่ชุมชนคุณหญิงส้มจีน จ.ปทุมธานี เป็นที่แรก และได้เดินหน้าโครงการไปยังจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ และทุก บก.ก็เดินหน้าในส่วนความผิดชอบตามหน้างานของตน มีการจัดทำกลุ่ม “ตำรวจ ผู้รับใช้ชุมชน (Community Policing)” ในเว็บไซต์เฟซบุ๊ค คอยนำเสนอข้อมูลและผลการดำเนินโครงการดังกล่าวซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่าง ดี ถึงกระนั้น โครงการนี้ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น ซึ่งหากจะวัดผลในภาพรวมสำเร็จหรือไม่ ก็ยังต้องรอต่อไป
โดยเฉพาะความมุ่งหวังสูงสุด คือพื้นที่ชายแดนภาคใต้...จะกลับมาสงบสุขดังเดิม
ขอบคุณข้อมุลจาก หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/scoop/22772
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น