ตำรวจของประชาชน เป็น "ตำรวจผู้รับใช้ชุมชน" เป็นตำรวจของประเทศไทย
ทิ้งหมัดเข้ามุม
จ่าบ้าน
จากหนังสือพิมพ์ข่าวสด
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd2Iyd3dNVEUxTVRBMU5RPT0%3D§ionid=TURNd05BPT0%3D&day=TWpBeE1pMHhNQzB4TlE9PQ%3D%3D
สมัยหนึ่งเมื่อเพลง "มาร์ชตำรวจ" ดังก้องขึ้นมา ปรากฏว่ามีผู้แปลงเนื้อร้องให้คนฟังทั่วไปรู้สึกขบขันและมองเห็นภาพความเป็น ตำรวจในยุคนั้นค่อนไปในทางเป็นจริง แต่กับตำรวจเอง โดยเฉพาะตำรวจที่ดี ฟังเพลงมาร์ชตำรวจแปลงแล้วได้แต่สมเพชตัวเองที่ "สนิมเกิดแต่เนื้อในตน" ทำให้บุคคลภาย นอกมองตำรวจว่าเป็นเช่นนั้น
(ขอโทษ) เช่นเนื้อตอนที่ว่า "ถึงใครจะตายก็ช่างมัน ให้กูได้อยู่ก็แล้วกัน" บางท่อนยังแรงกว่านี้
กระทั่ง "เป็นมิตรผู้ที่ผิดกฎหมาย เราอยู่ไหนประชาตกใจทั่วกัน"
เพลงแปลงมาร์ชตำรวจเมื่อก่อนนั้นฟังแล้วตัวตำรวจและญาติตำรวจอาจไม่สบอารมณ์
กาลเวลาผ่านไป ยุคสมัยผ่านมา ตำรวจรุ่นหลังเริ่มตระหนักถึงความเป็นตำรวจ รำลึกถึงภาระหน้าที่ เริ่มรู้สึกทั้งด้วยตัวเองและจากเพื่อนฝูงญาติพี่น้องว่าเขามองภาพความเป็น ตำรวจอย่างไร
โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากมิจฉาชีพ
แล้วตำรวจแต่ละคนเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของ ตัวเองให้เป็นตำรวจในใจประชาชนขึ้นมาบ้าง
ขณะที่ตำรวจบางคนก็ยังมีพฤติกรรมดั้งเดิม ยังใช้ความเป็นตำรวจหาประโยชน์ให้ตัวเอง
ยิ่งมี "การเมือง" มีนักการเมืองเข้าไปยุ่งกับตัวตำรวจ วงการตำรวจก็ยิ่งระส่ำระสายหนักขึ้น
การวิ่งเต้นให้ได้อยู่ในตำแหน่งในท้องที่อันมีผลประโยชน์ตอบแทนที่ดี แลกกับผลประโยชน์ที่ต้องจ่ายให้นักการเมือง ให้ข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่เป็นลำดับขั้นยังไม่ลดหายไปจากวงการตำรวจไทย
แม้ขณะนี้เสียงนั้นยังคงมีอยู่บ้าง แต่ดูเหมือนว่า จะแผ่วลงไปมากแล้ว
เมื่อหัวขบวนส่ายไปในทิศทางที่ดี ตัวขบวน หางขบวนก็ยิ่งจะต้องส่ายไปในทิศทางที่ดีเช่นกัน
สองปีในตำแหน่งผู้บัญชา การตำรวจแห่งชาติ น่าจะเป็นสองปีที่ข้าราชการตำรวจทั้งผองช่วยกันลบภาพในอดีต และเริ่มสร้างภาพกับพฤติ กรรมใหม่ขึ้นมาให้สมกับเป็นตำรวจของประชาชน เป็นตำรวจผู้รับใช้ชุมชน เป็นตำรวจของประเทศไทย ไม่ใช่ตำรวจของนักการเมือง
เป็นตำรวจที่ "ถึงตัวจะตายก็ช่างมัน ไม่เคยคำนึงถึงชีวันเข้าประจัญเหล่าร้ายเพื่อประชา..." ดังที่ตำรวจจำนวนไม่น้อยได้อุทิศตน "เพื่อประชา" มาแล้วไม่รู้กี่คนต่อกี่คน-ได้ไหมครับ ท่าน ผบ.ตร.
หน้า 6
สมัยหนึ่งเมื่อเพลง "มาร์ชตำรวจ" ดังก้องขึ้นมา ปรากฏว่ามีผู้แปลงเนื้อร้องให้คนฟังทั่วไปรู้สึกขบขันและมองเห็นภาพความเป็น ตำรวจในยุคนั้นค่อนไปในทางเป็นจริง แต่กับตำรวจเอง โดยเฉพาะตำรวจที่ดี ฟังเพลงมาร์ชตำรวจแปลงแล้วได้แต่สมเพชตัวเองที่ "สนิมเกิดแต่เนื้อในตน" ทำให้บุคคลภาย นอกมองตำรวจว่าเป็นเช่นนั้น
(ขอโทษ) เช่นเนื้อตอนที่ว่า "ถึงใครจะตายก็ช่างมัน ให้กูได้อยู่ก็แล้วกัน" บางท่อนยังแรงกว่านี้
กระทั่ง "เป็นมิตรผู้ที่ผิดกฎหมาย เราอยู่ไหนประชาตกใจทั่วกัน"
เพลงแปลงมาร์ชตำรวจเมื่อก่อนนั้นฟังแล้วตัวตำรวจและญาติตำรวจอาจไม่สบอารมณ์
กาลเวลาผ่านไป ยุคสมัยผ่านมา ตำรวจรุ่นหลังเริ่มตระหนักถึงความเป็นตำรวจ รำลึกถึงภาระหน้าที่ เริ่มรู้สึกทั้งด้วยตัวเองและจากเพื่อนฝูงญาติพี่น้องว่าเขามองภาพความเป็น ตำรวจอย่างไร
โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากมิจฉาชีพ
แล้วตำรวจแต่ละคนเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของ ตัวเองให้เป็นตำรวจในใจประชาชนขึ้นมาบ้าง
ขณะที่ตำรวจบางคนก็ยังมีพฤติกรรมดั้งเดิม ยังใช้ความเป็นตำรวจหาประโยชน์ให้ตัวเอง
ยิ่งมี "การเมือง" มีนักการเมืองเข้าไปยุ่งกับตัวตำรวจ วงการตำรวจก็ยิ่งระส่ำระสายหนักขึ้น
การวิ่งเต้นให้ได้อยู่ในตำแหน่งในท้องที่อันมีผลประโยชน์ตอบแทนที่ดี แลกกับผลประโยชน์ที่ต้องจ่ายให้นักการเมือง ให้ข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่เป็นลำดับขั้นยังไม่ลดหายไปจากวงการตำรวจไทย
แม้ขณะนี้เสียงนั้นยังคงมีอยู่บ้าง แต่ดูเหมือนว่า จะแผ่วลงไปมากแล้ว
เมื่อหัวขบวนส่ายไปในทิศทางที่ดี ตัวขบวน หางขบวนก็ยิ่งจะต้องส่ายไปในทิศทางที่ดีเช่นกัน
สองปีในตำแหน่งผู้บัญชา การตำรวจแห่งชาติ น่าจะเป็นสองปีที่ข้าราชการตำรวจทั้งผองช่วยกันลบภาพในอดีต และเริ่มสร้างภาพกับพฤติ กรรมใหม่ขึ้นมาให้สมกับเป็นตำรวจของประชาชน เป็นตำรวจผู้รับใช้ชุมชน เป็นตำรวจของประเทศไทย ไม่ใช่ตำรวจของนักการเมือง
เป็นตำรวจที่ "ถึงตัวจะตายก็ช่างมัน ไม่เคยคำนึงถึงชีวันเข้าประจัญเหล่าร้ายเพื่อประชา..." ดังที่ตำรวจจำนวนไม่น้อยได้อุทิศตน "เพื่อประชา" มาแล้วไม่รู้กี่คนต่อกี่คน-ได้ไหมครับ ท่าน ผบ.ตร.
หน้า 6
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น